จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด

อยู่ไฟหลังคลอด


การดูแลสุขภาพหญิงหลังคลอดด้วยการแพทย์แผนไทยในอดีต ไม่มีตำราใดเขียนไว้ มีแต่องค์ความรู้ทางการแพทย์ในเรื่องที่เกี่ยวกับแม่และเด็กที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ปฐมจินดา เริ่มตั้งแต่การตั้งท้อง การคลอด เรื่องรก การดูลักษณะเด็ก โรคเด็ก ฯลฯ แต่ไม่ได้กล่าวละเอียดเกี่ยวกับการคลอด หลังคลอดอมีเพียงเรื่องของยาที่ใช้ระยะเรือนไฟ เช่น ยาช่วยให้คลอดง่าย ยาแก้รกค้าง ยาใช้แทนการอยู่ไฟ ยาขับน้ำคาวปลา ยาบำรุงน้ำนม ยาขับน้ำนม ยาบำรุงเลือด ฯลฯ

การคลอดบุตรของคนไทยแต่โราณนั้น ทำได้แต่การคลอดธรรมดา ถ้ามีการคลอดผิดปกติแม่จะอยุ่ระหว่างอันตรายมาก  ในขณะที่คลอดจะมีการข่มหน้าท้องโดยใช้กำลังกดที่หน้าท้อง ให้เด็กออกเร็วขึ้น บางรายใช้เท้าเหยียบ หรือใช้ไม้ทำเป็นรูปเท้าเล็กๆกด จึงน่าจะเป็นอันตรายมาก โรคที่น่ากลัวสำหรับแพทย์ในสมัยนั้น ได้แก่ สันิบาตหน้าเพลิง คือระยะที่อยู่ไฟแล้วมีไข้  เนื่องจากการติดเชื้อเวลาคลอด ฉะนั้นหลังคลอดแล้วคุณแม่ต้องอยู่ไฟ เพื่อป้องกันการเกิดอาการต่างๆ และเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของคุณแม่เอง

ประโยชน์ของการอยู่ไฟ
1.  ช่วยขับน้ำคาวปลาและของเสียออกจากร่างกาย
2. ช่วยให้มดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วขึ้น
3. ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
4. ช่วยเสริมสร้างความพร้อมสำหรับการให้นมบุตร
5. ช่วยลดอาการตาพร่ามัวเวลาอายุมากขึ้น หรือลดการเกิดอาการวัยทอง
6. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
7. ช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน
8. ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ผิวพรรณ และความงามหลังคลอด
9.ช่วยให้แผลบริเวณฝีเย็บหายและแห้งสนิทเร็วยิ่งขึ้น
10. ช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน หรือที่เรียกว่า ลมผิดเดือน


ขั้นตอนการอยู่ไฟ มีดังนี้
1. การเข้ากระโจม
2. การประคบตัว (มีประคบเปียก ประคบแห้ง)
3. การอาบน้ำสมุนไพร
4. การทับหม้อเกลือ
5. การนาบอิฐ
6. การนั่งถ่าน

และนอกจากนั้นต้องมีการจำกัดอาหารการกิน งดอาหารแสลงทุกชนิด อาหารที่สามารถรับประทานได้ เช่น ในสมัยก่อนให้กินข้าวกับเกลือ ปลาแห้ง ปลาย่าง ถ้าวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว การกินข้าวกับเกลือจะทำให้ได้รับเกลือแร่ (โซเดียมคลอไรด์) ที่ร่างกายสูญเสียไปพร้อมกับการเสียน้ำเสียเลือดขณะคลอด รวมถึงกับการเสียเหงื่อขณะอยู่ไฟ ซึ่งถ้าร่างกายขาดโซเดียมคลอไรด์จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ เซื่องซึมหรือเกิดเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ การกินข้าวกับเกลือจึงทดแทนได้ และข้าวเปล่าสมัยก่อนเป็นข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องที่ยังไม่ได้ผ่านการขัดสี จึงมีคุณค่าทางอาหารมาก อาหารที่นิยมให้คุณแม่หลังคลอดกิน เช่น แกงเลียงหัวปลี ไก่และตับผัดขิง ฯลฯ

ที่มา : สมาพันธ์การแพทย์แผนไทยล้านนา / http://www.lannahealth.com

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

ความเชื่อของคุณแม่ตั้งครรภ์ : การดื่มยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลา

ความเชื่อของคุณแม่ตั้งครรภ์ : ดื่มยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลา


ดื่มยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลา ดีหรือไม่?

- ในบ้านเรายังมีความเชื่อผิด ๆ อีกอย่างก็คือ การให้ดื่มยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอด เพราะมีความเชื่อว่าน้ำคาวปลาคือของเสียที่ต้องขับออกมาให้มาก ๆ ทำให้มีสตรีหลังคลอดเป็นจำนวนมาก ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะตกเลือดจากการกินยาขับน้ำคาวปลานี่แหละ บางรายถึงกับช็อกหมดสติ ต้องให้เลือดช่วยชีวิตกันแทบไม่ทัน

ความจริงน้ำคาวปลาก็คือเลือดดี ๆที่ไหลซึมจากแผลในโพรงมดลูกตรงตำแหน่งที่รกลอกตัวออกไป ซึ่งร่างกายต้องพยายามทำให้หยุดโดยเร็ว ก่อนที่เลือดจะหมดตัวซะก่อนด้วยการให้มดลูกหดรัดตัวบีบเส้นเลือดในมดลูกให้เลือดไหลน้อยลงจนหยุดไปเอง

เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพยายามขับน้ำคาวปลาให้ออกมาเยอะ ๆ เพราะนอกจากจะเสียเลือดเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว บรรดายาขับน้ำคาวปลาหรือยาดองทั้งหลายมักมีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะผ่านออกมาในน้ำนมได้ ทำให้ลูกดูดนมที่มีแอลกอฮอล์ปนออกมาด้วย ก็เลยเมาหลับปุ๋ยตั้งแต่แรกเกิด

บางคนอาจจะชอบเพราะเลี้ยงง่ายดีไม่งอแง แต่สมองที่หลับไหลไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด จะทำให้ลูกลดความเฉลียวฉลาดลงไปเยอะทีเดียว และแอลกอฮอล์อาจทำให้ตับของลูกทำงานผิดปกติ สร้างสารแข็งตัวของเลือดได้น้อยลง จนอาจมีเลือดออกตามส่วนต่าง ๆ ของลูกจนทำให้เสียชีวิตได้

การที่เราจะเชื่อสิ่งใดก็ควรที่จะพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ซึ่งความเชื่อบางอย่างอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเราและลูก เมื่อเราได้รู้ถึงผลเสียแล้วก็น่าที่จะช่วยกันลบล้างความเชื่อเหล่านี้ทิ้งให้หมด เพื่อประโยชน์ทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์.

ที่มา : จริงหรือ!ความเชื่อขณะตั้งครรภ์ (ตอนที่ 2)
รศ.พญ.สายฝน  ชวาลไพบูลย์ ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

ความเชื่อสำหรับการอยู่ไฟ

ความเชื่อสำหรับการอยู่ไฟ


ความเชื่อสำหรับการอยู่ไฟมีดังนี้

-ห้ามกินน้ำเย็นอย่างน้อยเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ควรกินน้ำอุ่นให้มากเพื่อบำรุงน้ำนมด้วยค่ะ
-ห้ามทานของหมักดอง หรืออาหารที่ทานแล้วแสลงแผล -คุณแม่คลอดธรรมชาติ สามารถอยู่ไฟได้ภายใน 3-7 วันหลังคลอดได้เลยค่ะ
-คุณแม่ผ่าคลอด ควรรอให้แผลปิดสนิทก่อนจึงค่อยอยู่ไฟประมาณ 30 วันไปแล้วค่ะ
-ห้ามทานของเย็นต่างเพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้นค่ะ
-ควรพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงไม่ควรออกไปโดนฝน หรือ อยู่ในที่ ๆ มีอากาศหนาวจัด ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอค่ะ
-ควรอาบน้ำอุ่นถึงอุ่นจัดเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนดีค่ะ

ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร
-ไม่ควรอาบน้ำทันทีหลังประคบเสร็จ เพราะน้ำจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และร่างกายปรับไม่ทันทำให้เป็นไข้ได้

ข้อควรระวังสำหรับการเข้ากระโจมอบสมุนไพร
1. ไม่ควรอบในขณะมีไข้สูง เพราะจะไปเพิ่มความร้อนมากยิ่งขึ้น
2. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเกิน 140-180 มิลลิเมตรปรอท หรือผู้ที่มีอาการวิงเวียนศรีษะหน้ามืด ไม่ควรเข้ากระโจมอบสมุนไพร
3. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง
4. ผู้ที่รับประทานอาหารอิ่มยังไม่ถึง 1 ชั่วโมง ห้ามเข้ากระโจม อาจทำให้อาเจียนได้
5. สตรีขณะมีประจำเดือน โดยเฉพาะที่มีไข้และอาการปวดศรีษะร่วมด้วย ไม่ควรเข้ากระโจมอบสมุนไพร
6. ขณะที่ร่างกายมีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ มีบาดแผลเปิด หรือเป็นแผลเรื้อรัง แผลติดเชื้อ
7. ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร การเสียเหงื่อมากจะทำให้อ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น


การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ไม่ค่อยรู้_ เกี่ยวกับมารดาหลังคลอด_ แผลฝีเย็บ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมารดาหลังคลอด


ฝีเย็บ / การตรวจแผลฝีเย็บ

หากมีการฉีกขาดของฝีเย็บหรือมีการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บหลังคลอด ควรสังเกตบริเวณแผลฝีเย็บว่ามีลักษณะของการอักเสบติดเชื้อหรือไม่ หากพบว่าแผลฝีเย็บบวมแดง กดเจ็บ อาจรักษาโดยการให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการดูแลความสะอาดของแผล แต่หากแผลฝีเย็บบวมตึงมาก หรือมีหนองคั่งอยู่ภายใน ให้ตัดไหมเพื่อให้หนองไหลได้สะดวกและทำความสะอาดแผลจนกว่าแผลไม่มีการติดเชื้อแล้วจึงเย็บแผล ในบางกรณีมารดามีอาการเจ็บแผลฝีเย็บมากโดยไม่มีลักษณะของการอักเสบติดเชื้อ ควรสงสัยภาวะเลือดคั่ง (hematoma) ใต้แผลฝีเย็บ ซึ่งในบางรายไม่สามารถมองเห็นจากการตรวจแผลฝีเย็บด้านนอกเพียงอย่างเดียว ต้องตรวจแผลฝีเย็บในช่องคลอดด้วยจึงจะทราบว่ามีเลือดคั่งมากหรือน้อย ในกรณีตำแหน่งเลือดคั่งอยู่ใต้ต่อ urogenital diaphragm ก้อนเลือดที่คั่งจะดันแผลฝีเย็บให้โป่งนูนคลำได้จากการตรวจภายใน การรักษาทำได้โดยการตัดไหมที่เย็บไว้เพื่อเอาก้อนเลือดที่คั่งอยู่ออก ค้นหาและเย็บซ่อมแซมจุดที่เลือดออกก่อนจะเย็บปิดแผลฝีเย็บ หากไม่สามารถห้ามเลือดให้หยุดสนิทได้อาจใส่ท่อระบายคาไว้ร่วมด้วย แต่หากตำแหน่งเลือดคั่งอยู่เหนือต่อ urogenital diaphragm ก้อนเลือดจะคั่งอยู่บริเวณข้างปากมดลูกและดันมดลูกให้ลอยสูงขึ้นไปในช่องท้อง เลือดจะเซาะแทรกได้มากกว่ากรณีแรก มารดาอาจมีภาวะช็อค ซีดจากการเสียเลือดมาก การรักษาต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อระบายเลือดและหาจุดเลือดออก


น้ำคาวปลา (lochia)

เป็นสิ่งคัดหลั่งที่ออกมาจากโพรงมดลูกหลังคลอด ประกอบไปด้วย decidua ที่หลุดลอก เม็ดเลือดแดง และแบคทีเรีย ในระยะแรกภายใน 3 วันหลังคลอดน้ำคาวปลาจะมีสีแดงเรียกว่า lochia rubra ในวันที่ 3 – 10 หลังคลอดน้ำคาวปลาจะจางลง สีค่อนข้างใสเรียกว่า lochia serosa และหลังวันที่ 10 น้ำคาวปลาจะลดน้อยลงมีสีขาวหรือสีเหลืองขาวเรียกว่า lochia alba น้ำคาวปลามักจะยังคงมีอยู่ได้นานถึง 4 – 8 สัปดาห์หลังคลอด


การสำรวจน้ำคาวปลา

การตรวจดูน้ำคาวปลาว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะดังกล่าวข้างต้นหรือไม่จะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของมดลูกและเยื่อบุโพรงมดลูกว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายหลังคลอดเป็นปกติดีหรือไม่ หากน้ำคาวปลาไม่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว ยังคงมีสีแดงอยู่ตลอด น้ำคาวปลามานานกว่าปกติ หรือมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย อาจบ่งบอกถึงการมีเศษรกค้างหรือมีภาวะอักเสบติดเชื้อในโพรงมดลูก แต่อย่างไรก็ตามในบางรายน้ำคาวปลาอาจมานานได้ถึง 4 – 8 สัปดาห์โดยไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ หรือในกรณีที่ตำแหน่งรกเกาะมีขนาดใหญ่ เช่น ครรภ์แฝด ทารกตัวโต หรือทารกบวมน้ำ น้ำคาวปลาอาจมามากกว่าปกติได้


การดูแลความสะอาดของปากช่องคลอดและแผลฝีเย็บ (Perineal care)

การดูแลความสะอาดของปากช่องคลอดและแผลฝีเย็บทำได้โดยใช้น้ำสบู่หรือ antiseptic solution ชนิดอ่อนล้างทำความสะอาดเฉพาะภายนอก และซับให้แห้งวันละสองครั้งเช้าเย็น ไม่ควรสวนล้างเข้าไปในช่องคลอด ในระยะที่ยังมีน้ำคาวปลาอยู่ควรใส่ผ้าอนามัยรองไว้และเปลี่ยนแผ่นใหม่เมื่อรู้สึกชุ่มหรือทุก 3 – 4 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการอับชื้น อาจใช้การอบไฟอินฟราเรดเพื่อช่วยในการหายของแผลฝีเย็บเร็วขึ้น โดยทั่วไปขอบแผลจะติดกันดีภายใน 1 สัปดาห์ และหายสนิทดีภายใน 2 – 3 สัปดาห์หลังคลอด  หากเย็บด้วยไหมละลายไม่จำเป็นต้องนัดมาตัดไหม แต่ถ้าเย็บด้วยไหมไม่ละลาย เช่น silk ต้องนัดมาตัดไหมในวันที่ 5 – 7 หลังคลอด


การดูแลแผลฝีเย็บ

ดูแลรักษาแผลฝีเย็บด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดอวัยวะเพศตามปกติและซับให้แห้ง หรืออาจใช้วิธีนั่งแช่น้ำอุ่นครั้งละ 15 นาที วันละประมาณ 2 ครั้ง จากนั้นซับแผลให้แห้ง หรือใช้การประคบอุ่นที่แผลแทนการนั่งแช่น้ำอุ่นก็ได้ ไม่ต้องใช้ยาใส่แผล โดยทั่วไปแผลฝีเย็บจะติดดีภายใน 7 วัน และแผลจะหายสนิท 2-3 สัปดาห์ หลังคลอด
ควรใส่ผ้าอนามัยเพื่อซึมซับน้ำคาวปลาและควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม
ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระน้ำขณะยังมีน้ำคาวปลาไหล เพราะปากมดลูกจะเปิด จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกได้


การมีประจำเดือนและการตกไข่หลังคลอด

ในกรณีไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาจเริ่มมีประจำเดือนภายใน 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด และอาจตกไข่ได้เร็วที่สุดคือ 33 วันหลังคลอด แต่ในกรณีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สม่ำเสมอ การมีประจำเดือนจะทำนายได้ยาก ส่วนใหญ่ประจำเดือนมักจะมาช้า หรืออาจไม่มีประจำเดือนเลยในช่วงที่ให้นมบุตร เช่นเดียวกับการตกไข่ของสตรีหลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ซึ่งจะช้ากว่าและตกไข่ไม่บ่อยเท่าสตรีหลังคลอดที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนม ดังแสดงในรูปที่ 3 การให้ลูกดูดนมนานอย่างน้อยครั้งละ 15 นาทีวันละ 7 ครั้งขึ้นไปจะทำให้เลื่อนเวลาไข่ตกออกไปได้ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ในสตรีหลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะพบประมาณร้อยละ 4 ต่อปี โดยการตกไข่ที่พบได้เร็วที่สุดคือ 49 วันหลังคลอด สำหรับการตกไข่หลังแท้งหรือท้องนอกมดลูกจะพบได้เร็วที่สุดคือ 14 วันหลังแท้ง ในกรณีที่มีไข่ตกไม่จำเป็นต้องเกิดประจำเดือนตามมา และในกรณีที่มีประจำเดือนก็ไม่จำเป็นต้องมีไข่ตกเสมอไป แต่พบว่าไข่จะตกอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นหากประจำเดือนกลับมาเป็นรอบเหมือนปกติ


อาการผิดปกติหลังคลอดที่ต้องรีบกลับไปพบแพทย์

อาการผิดปกติที่ต้องรีบกลับไปพบแพทย์ก่อนครบกำหนดนัดตรวจหลังคลอด ได้แก่
1. ไข้สูง
2. ปวดแผลฝีเย็บมาก นั่งหรือเดินลำบาก
3. ปัสสาวะแสบขัด
4. น้ำคาวปลาที่เคยออกเป็นสีจางแล้ว กลับมามีเลือดออกสีเข้มมากขึ้น ปริมาณเลือดออกมากขึ้น มีกลิ่นเหม็น
5. มีอาการผิดปกติอื่นๆ หรือ มีอาการของภาวะแทรกซ้อน ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ภาวะ แทรกซ้อน
6. เมื่อกังวลในอาการ

การอยู่ไฟ
หากจะอยู่ไฟ หรือกระโจมความร้อน ควรอยู่ไฟอ่อนๆ และห้ามนำลูกเข้าอยู่ไปด้วย ระ หว่างการอยู่ไฟ จะทำให้สูญเสียเหงื่อมาก อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ จึงควรดื่มน้ำมากๆ



ที่มา :
การดูแลสตรีระยะหลังคลอด (puerperium care)
ผศ. พญ. เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
http://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011

ระยะหลังคลอด (Postpartum period)
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
http://haamor.com/ระยะหลังคลอด


การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

การอยู่ไฟหลังคลอด... สมัยปัจจุบัน

การอยู่ไฟสมัยปัจจุบัน


การดูแลคุณแม่หลังคลอดด้วยการอยู่ไฟในปัจจุบันยังคงมีให้เห็นกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ซึ่งยังคงใช้รูปศัพท์เดิม คือ “การอยู่ไฟ” แต่วิธีการได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะการแพทย์สมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่ แต่ช่วงหลังได้มีการส่งเสริมให้มีการอยู่ไฟด้วยแพทย์แผนไทยประยุกต์กันมากขึ้น การอาบ-อบสมุนไพรจึงถือเป็นกระบวนการหนึ่งของการอยู่ไฟด้วย ซึ่งหลัก ๆ จะประกอบไปด้วยการนวดประคบ การเข้ากระโจม อาบน้ำสมุนไพร และลงท้ายด้วยการนาบหม้อเกลือ (อาจมีบริการเสริมอื่น ๆ ด้วยแตกต่างกันไป)

1. การนวดประคบ โดยใช้ลูกประคบร้อนที่ห่อไปด้วยสมุนไพรต่าง ๆ มากกว่า 10 ชนิด เช่น ขมิ้น ตะไคร้ การบูร ใบส้มป่อย เถาเอ็นอ่อน ฯลฯ มานวดคลึงตามบริเวณร่างกายและเต้านม หรือนั่งทับลูกประคบ 1 ลูก เพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อยและรักษาแผลหลังคลอด
2. การเข้ากระโจมและอบสมุนไพร ถือเป็นขั้นตอนหลักของการอยู่ไฟเลยก็ว่าได้ เพราะการเข้ากระโจมอบไอน้ำด้วยสมุนไพรนานาชนิดจะช่วยให้รูขุมขนได้ขับของเสียและทำความสะอาดผิวให้เปล่งปลั่งขึ้น ในขั้นตอนนี้จะเป็นการอบตัวด้วยไอน้ำร้อนโดยให้คุณแม่หลังคลอดเข้าไปนั่งบนม้านั่ง แล้วเอาผ้าห่มทำกระโจมคลุมไว้ และส่วนใหญ่จะคลุมศีรษะไว้ด้วย อากาศภายในกระโจมนั้นจะอับมาก อาจโผล่หน้าออกมาได้ แล้วเอาหม้อน้ำที่ต้มเดือดไปใส่ไว้ภายในกระโจม ซึ่งในหม้อนั้นจะมีน้ำสมุนไพรเป็นสารระเหย เช่น มะกรูด ตะไคร้ (ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจคล่องขึ้น), ไพร (ช่วยลดอาการปวดเมื่อย), ขมิ้นชัน (ลดอาการเคล็ดขัดยอก), การบูร พิมเสน (ช่วยให้หายใจสดชื่น), ผักบุ้งแดง (ช่วยบำรุงสายตา), หัวหอมแดง, ใบมะขาม, ใบส้มป่อย, ใบส้มเสี้ยว, เปลือกส้มโอ และสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อให้สมุนไพรซึมผ่านผิวหนังเข้าไปบำรุงผิวพรรณและขับน้ำคาวปลาได้ดียิ่งขึ้น เมื่ออบตัวเสร็จก็จะเอาน้ำที่เหลือมาอาบหรือทาตัวภายหลังก็ได้ คุณแม่พอคิดสภาพตามแล้วอาจรู้สึกร้อน ๆ แต่วิธีนี้ไม่มีอันตรายครับ ถ้าร่างกายโดยเฉพาะใบหน้าไม่ถูกไอน้ำร้อนนานเกินไป ซึ่งไม่น่าจะนานเกิน 15 นาที และคุณแม่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนลวก วิธีนี้จะทำให้เหงื่อออกมากซึ่งจะเป็นการช่วยลดน้ำหนักไปด้วยในตัวครับ ส่วนคุณแม่ที่มีตู้อบไอน้ำอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอยู่แล้วจะอบไอน้ำก็ได้ แต่อย่าให้นานเกินไป ควรใช้ครั้งละไม่เกิน 15 นาที วันละครั้งก็พอ เพราะถ้านานเกินไปอาจทำให้คุณแม่เป็นลมเนื่องจากร่างกายเสียเกลือแร่ไปมาก แต่ถ้าไม่มีตู้อบก็ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อมาเพื่ออบตัวหลังคลอดครับ เพราะยังมีวิธีที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เช่น การบริหารร่างกายหลังคลอด

3. การนาบหม้อเกลือ หรือ การทับหม้อเกลือ หรือ การนึ่งหม้อเกลือ เป็นขั้นตอนการใช้หม้อเกลือมาประคบหน้าท้องและตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พร้อมทั้งนวดไปด้วย ความร้อนจากหม้อเกลือจะช่วยให้รูขุมขนเปิด สมุนไพรซึมผ่านลงผิวหนังไปช่วยขับน้ำคาวปลาและของเสียออกมาตามรูขุมขน และช่วยให้มดลูกหดรัดตัวเข้าอู่เร็วขึ้น ซึ่งหม้อเกลือจะเป็นหม้อดินเล็ก ๆ ใส่เกลือเม็ดแล้วเอาไปตั้งไฟให้ร้อน แล้ววางบนใบพลับพลึง ใช้ผ้าห่อโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง ใช้ประคบหรือนาบไปตามตัวโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง เพื่อหวังจะให้หน้าท้องยุบลง ซึ่งก็ไม่ได้ผลดีเท่าไรครับ แต่การบริหารร่างกายจะช่วยได้มากกว่า เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่นาบหม้อเกลือ หนังหน้าท้องจะหย่อนเหมือนเดิม แถมคุณแม่หลังคลอดบางคนก็นาบด้วยหม้อเกลือจนผนังท้องดำไหม้อยู่ตลอดไป และผิวหนังจะเหี่ยวย่นคล้ายผิวคนแก่ก็มี ผมจึงขอแนะนำว่าถ้าขัดผู้ใหญ่ไม่ได้หรืออยากทำจริง ๆ ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง ถ้าร้อนมากก็ต้องหยุดทำทันที ทางที่ดีไม่ควรทำเลยครับ อันตราย ส่วนการประคบด้วยลูกประคบที่ประกอบด้วยสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ก็มีประโยชน์ครับถ้าไม่ร้อนมากจนเกินไป

4. บริการอื่น ๆ เช่น การประคบ-นั่งอิฐ เป็นการใช้อิฐมอญย่างไฟร้อน ๆ ห่อด้วยใบพลับพลึงและผ้าหนาหลายชั้นมาประคบตามบริเวณร่างกายหรือวางไว้ใต้เก้าอี้เพื่อให้ความร้อนอังบริเวณปากช่องคลอด เพื่อสมานแผลให้หายเร็วขึ้น, การนวดคล้ายเส้นตามกล้ามเนื้อตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่นใบหน้า ศีรษะ ต้นขา ต้นแขน เพื่อให้กล้ามเนื้อคล้ายตัว กระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและเลือดลม, การดื่มน้ำสมุนไพร อย่างการดื่มน้ำขิงซึ่งจะช่วยปรับสมดุลร่างกายและกระตุ้นเลือดลมให้เดินเป็นปกติ, การสครับขัดบำรุงผิว ด้วยการพอก ขัด ด้วยเกลือสะตุและสมุนไพรชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยกระชับและบำรุงผิวที่แตกลาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การอยู่ไฟข้างต้นนี้เหมาะสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่คลอดเองตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถอยู่ไฟได้เลยนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลหรือภายใน 3-7 วันขึ้นไป ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดนั้นจำเป็นต้องรอและให้แผลแห้งสนิทก่อนประมาณ 30 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้แผลอักเสบในขณะทำการอยู่ไฟ สำหรับคุณแม่ที่สนใจจะอยู่ไฟ ก็จะมีศูนย์สุขภาพต่าง ๆ สปาสุขภาพ คลินิกแพทย์แผนไทย ไปจนถึงบริการอยู่ไฟถึงบ้านแบบเดลิเวอรี่ที่มีบริการดูแลหลังคลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดเป็นระยะตั้งแต่ 3-10 วัน โดยจะเน้นเรื่องของความสวยความงามเป็นหลัก เช่น การลดไขมันหน้าท้อง การทำให้ผิวพรรณผ่องใส ซึ่งจะไม่เหมือนกับในสมัยก่อนครับ อย่างไรก็ดี การเลือกใช้บริการแต่ละอย่างนั้น คุณแม่จะต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยและความชำนาญของผู้ให้บริการด้วย และที่สำคัญการใช้บริการในแต่ละคอร์สค่อนข้างจะมีราคาสูงอยู่พอสมควร ทางที่ดีที่คุณแม่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ ก็คือ การอาบน้ำอุ่นที่บ้านที่ผสมด้วยสมุนไพรชนิดต่าง ๆ เช่น ตะไคร้ มะกรูด ผสมกับน้ำอาบก็ได้





ที่มา : https://medthai.com/ การอยู่ไฟ : ขั้นตอนการอยู่ไฟ & ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด !

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

การอยู่ไฟหลังคลอด...สมัยโบราณ

การอยู่ไฟหลังคลอดสมัยโบราณ



การอยู่ไฟหลังคลอด เป็นเรื่องคุ้นเคยกันดีและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของคนสมัยก่อน เพราะคนสมัยนั้นเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัว สรีระ หรือหน้าท้อง ทำให้หลังคลอดคุณแม่มีอาการปวดเมื่อยหรืออักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณสันหลังหรือที่ขา ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นวิธีดังกล่าว โดยอาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอด เพื่อปรับสมดุลในร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว โดยใช้ความร้อนเข้าช่วย

แต่สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ในปัจจุบันอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกัน หรือยังไม่เคยเห็นว่าเขาทำกันอย่างไร และคุณแม่บางรายเกิดปัญหาว่าได้รับคำแนะนำหรือถูกบังคับโดยคุณย่าคุณยายให้อยู่ไฟหลังคลอดหลังออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งการอยู่ไฟจะมีประโยชน์และโทษอย่างไร แล้วสมควรจะทำหรือไม่นั้น ไปดูกันเลยดีกว่าครับ

การอยู่ไฟของคนไทยได้ทำสืบต่อกันมานานแล้ว จนบางคนเรียกระยะหลังคลอดว่า “ระยะอยู่ไฟ” แม้ในวรรณคดีของไทยอันเก่าแก่เองก็ยังกล่าวถึงเรื่องการอยู่ไฟด้วย “เพราะเชื่อกันว่าการอยู่ไฟจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งช่วยบรรเทาความปวดเมื่อยลงได้ และถือกันว่าเป็นการบำบัดโรคหลังคลอด ทำให้คุณแม่มีสุขภาพดีในภายหน้า เมื่อแก่ตัวลงก็ยังคงแข็งแรงเหมือนเดิม”

สาเหตุของการอยู่ไฟ

การอยู่ไฟเป็นกระบวนการดูแลหญิงหลังคลอดที่คนสมัยโบราณ “เชื่อว่าจะช่วยทำให้ร่างกายฟื้นจากความเหนื่อยล้าให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว โดยใช้ความร้อนเข้าช่วย ทำให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นบริเวณหลังและขาที่เกิดจากการกดทับในขณะตั้งครรภ์ได้คลายตัว ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามตัว ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี ช่วยปรับสมดุลร่างกายของคุณแม่ให้เข้าที่ อาการหนาวสะท้านที่เกิดจากการเสียเลือดและน้ำหลังคลอดมีอาการดีขึ้น ทำให้มดลูกที่ขยายตัวได้หดรัดตัวหรือเข้าอู่ได้เร็ว พร้อมกับช่วยให้ปากมดลูกปิดได้ดี จึงป้องกันการติดเชื้อในโพรงมดลูกหลังคลอด ทำให้น้ำคาวปลาแห้งเร็ว ลดการไหลย้อนกลับจนนำไปสู่ภาวะเป็นพิษ”

ในสมัยก่อนหมอตำแยจะไม่ได้เย็บแผลช่องคลอดที่ฉีกขาดจากการคลอด จึงต้องให้คุณแม่นอนบนกระดานแผ่นเดียวจะได้หนีบขาทั้งสองข้างไว้ ช่วยให้แผลติดกันได้ แต่เมื่อนอนไปนาน ๆ ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวก็จะทำให้เกิดความอ่อนล้า เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อจะลุกก็อาจจะเป็นลมได้ จึงต้องมีการผิงไฟเพื่อช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น การไหลเวียนของเลือดจึงดีขึ้นตามไปด้วย และเชื่อกันว่าจะทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วยิ่งขึ้นด้วยครับ

แต่ในสมัยปัจจุบันเมื่อคุณแม่คลอดลูกที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย เมื่อหมอทำคลอดให้เสร็จก็จะมีการเย็บซ่อมแผลที่ฉีกขาด หรือตัดช่องคลอดแล้วเย็บให้เรียบร้อย คุณแม่จึงไม่จำเป็นต้องนอนนิ่ง ๆ นาน ๆ แต่อย่างใด เพราะการที่ร่างกายไม่เคลื่อนไหวนั้นจะทำให้น้ำคาวปลาไหลไม่สะดวก คุณแม่จึงมีโอกาสติดเชื้ออักเสบในโพรงมดลูกได้สูงมาก นอกจากนี้การนอนอยู่นิ่ง ๆ นาน ๆ ในที่อับลมยังเป็นการเพิ่มความเครียดให้คุณแม่อีกด้วย จึงไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด

ส่วนการที่ต้องผิงไฟอยู่ตลอดเวลา ร่างกายก็จะเสียเหงื่อไปมาก หมอตำแยจึงต้องให้คุณแม่กินข้าวกับเกลือหรือปลาเค็มเพื่อทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับเหงื่อ และสั่งให้งดอาหารแสลงหลาย ๆ อย่างด้วย เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่อาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ในการเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ในส่วนที่บอบช้ำจากการคลอด และยังมีประโยชน์ต่อการสร้างน้ำนมด้วย คุณแม่จึงไม่ควรงดของแสลงเหล่านี้อย่างที่ปฏิบัติกันมาแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ว่าคุณแม่แพ้อาหารชนิดนั้น ๆ อยู่แล้ว

การอยู่ไฟสมัยโบราณ

การอยู่ไฟมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดตามแต่จะนิยมกัน ซึ่งผู้คลอดจะนอนอยู่บนกระดานแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า “กระดานไฟ” ถ้ายกกระดานไฟให้สูงขึ้นแล้วเลื่อนกองไฟเข้าไปใกล้ ๆ หรือเอากองไฟมาก่อไว้ใต้กระดานก็จะเรียกว่า “อยู่ไฟญวน” หรือ “ไฟแคร่” (นอนบนไม้กระดาน ส่วนเตาไฟอยู่ใต้แคร่ มีแผ่นสังกะสีรองทับอีกที เหมือนการนอนปิ้งไฟดี ๆ นี่เองครับ) แต่ถ้านอนบนกระดานไฟซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพื้นและมีกองไฟอยู่ข้าง ๆ จะเรียกว่า “อยู่ไฟไทย” หรือ “ไฟข้าง” (ก่อไฟอยู่ข้างตัวบริเวณท้อง) บ้างก็เรียกกันไปตามชนิดของฟืน ถ้าใช้ไม้ฟืนก่อไฟก็เรียกว่า “อยู่ไฟฟืน” (นิยมใช้ไม้มะขาม เพราะไม่ทำให้ฟืนแตก) แต่ถ้าใช้ถ่านก่อไฟก็จะเรียกว่า “อยู่ไฟถ่าน” และข้าง ๆ กองไฟมักจะมีภาชนะใส่น้ำร้อนเอาไว้เพื่อใช้ราดหรือพรมไม่ให้ไฟลุกแรงเกินไป

คนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจะนิยมอยู่ไฟข้างมากกว่าอยู่ไฟแคร่ โดยสามีหรือญาติจะเป็นคนจัดเตรียมที่นอนสำหรับการอยู่ไฟและคอยดูแลเรื่องฟืนไฟที่จะต้องไม่ร้อนเกินไปให้ เพราะคุณแม่จะต้องอยู่ในเรือนไฟนานถึง 7-15 วัน และห้ามออกจากเรือนไฟโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้อุณหภูมิร่างกายของคุณแม่ปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและไม่สบายได้

การอยู่เรือนไฟในสมัยก่อนนั้นคุณแม่หลังคลอดทุกคนจะต้องเข้าเรือนไฟที่สร้างเป็นกระท่อมหลังคามุงจาก แล้วเข้าไปนอนผิงไฟ พร้อมกับลูกน้อยที่จะเอาใส่กระด้ง ร่วมอยู่ไฟกับคุณแม่บนกระดานไม้แผ่นเดียวและจะต้องทำขาให้ชิดกัน เพื่อให้แผลฝีเย็บติดกัน ซึ่งคนโบราณจะเรียกว่า “การเข้าตะเกียบ” การอยู่ไฟอาจมีการนวดประคบด้วยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในคุณแม่แต่ละคน นอกจากนี้ในทุก ๆ วันคุณแม่ยังต้องอาบน้ำร้อนและดื่มเฉพาะน้ำอุ่น (ห้ามรับประทานน้ำเย็นหรือของเย็น ๆ) และงดอาหารแสลงหลายอย่าง ซึ่งอาหารหลักก็คือการกินข้าวกับเกลือหรือกับปลาเค็ม เพราะคนโบราณเชื่อว่าจะไปทดแทนเกลือที่ร่างกายต้องเสียไปทางเหงื่อที่ไหลออกระหว่างการอยู่ไฟได้

ส่วนทางภาคอีสานจะเรียกการอยู่ไฟว่า “อยู่กรรม” เพราะเชื่อกันว่าคุณแม่คนใดที่ไม่อยู่ไฟ ร่างกายจะผอมแห้ง ผิวพรรณซูบซีด ไม่มีน้ำนม กินผิดสำแดงได้ง่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงของผู้หญิงในสมัยก่อน ส่วนจำนวนวันในการอยู่ไฟนั้น ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรกจะอยู่นานกว่าคลอดครรภ์หลัง เมื่ออยู่ครบแล้วก็จะมีพิธีออกไฟในตอนเช้ามืด ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข


ที่มา : https://medthai.com/ การอยู่ไฟ : ขั้นตอนการอยู่ไฟ & ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด !

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อยู่ไฟ อยู่ไฟหลังคลอด น้ำคาวปลา ตั้งครรภ์ ท้อง คลอด บุตร ลูก ลูกชาย ลูกสาว ฝากครรภ์ อบสมุนไพร ประจำเดือน นวด โอท้อป แพทย์ หมอ มดลูก เข้าอู่ นม น้ำนม ประจำเดือน

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

ลักษณะผิดปกติที่อาจจะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ลักษณะผิดปกติที่อาจจะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ


ผู้ป่วยไม่ใส่สายสวนปัสสาวะ
-รู้สึกเจ็บ แสบ เมื่อปัสสาวะ หรือ ปัสสาวะขัด
-ปวดปัสสาวะบ่อย - ปวดปัสสาวะฉับพลัน
-มีเลือดในปัสสาวะ
-มีไข้
-ปวดบริเวณหลังและท้องส่วนล่าง
-ปัสสาวะสีขุ่นหรือเข้ม –มีตะกอน และมีกลิ่นแปลกๆ

ผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะ
-อาการเหมือนๆกับ ผู้ป่วยไม่ใส่สายสวนปัสสาวะ
-สังเกตุที่สายปัสสาวะจะขุ่น มีตะกอน หรือ มีเลือดปน


การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง

การศึกษาและประสพการณ์การทำงาน

นายบุญยิ่ง ฤกษ์อุดม

BOONYING RERKUDOM

ใบประกอบวิชาชีพ เลขที่ 4511023525

สมาชิกสภาการพยาบาล เลขที่ 38875

Education

Bachelor of Nursing Science (1995), Mahidol University, BKK

Experience

2012 – Present: Supervisor Kasemrat Bangkae Hospital, BKK

2011-2012 : Supervisor BANGPAKOK 8 Hospital, BKK

2005-2011 : Night manager CHAOPHYA Hospital, BKK

1995-2005 : Nurse manager BANGPAKOK 1 Hospital, BKK

1992-1995 : ICU nurse Siriraj Hospital, BKK

การศึกษา

พยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล (2535)

ประสพการณ์

2555- ปัจจุบัน :ผู้ตรวจการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค

2557- ปัจจุบัน :ผู้บริหารโรงเรียนบางกอกอินเตอร์แคร์ การบริบาล

2554- 2555 :ผู้ตรวจการ โรงพยาบาลบางปะกอก 8

2548- 2554 :ผู้ตรวจการ โรงพยาบาลเจ้าพระยา

2538- 2548 :ผู้จัดการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลบางปะกอก 1

2535- 2538 :พยาบาลประจำการ หออภิบาลสยามินทร์1 โรงพยาบาลศิริราช