การป้องกันการติดเชื้อผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ : ควรดูแลดังนี้
1. ดูแลสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิด คือ ตั้งแต่ข้อต่อสายสวนปัสสาวะและสายต่อกับถุงรองรับปัสสาวะ ต้องให้ปิดอยู่ตลอดเวลา ระมัดระวังไม่ให้ข้อต่อหลุด หรือเปิดออก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ
หากข้อต่อหลุด ให้ใช้สำลีชุบแอกอฮอล์ 90% เช็ดปลายข้อต่อที่สายสวนปัสสาวะและที่ปลายสายข้อต่อกับถุงรองรับปัสสาวะ แล้วจึงต่อสายสวนปัสสาวะเข้ากับถุงรองรับน้ำปัสสาวะไว้เหมือนเดิม
2. การทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะที่คาอยู่: โดยใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง(ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำอุ่น) ล้างสายสวนฯ หลังจากนั้นฟอกสายสวนฯด้วยสบู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งให้สะอาด พร้อมซับสายสวนฯ และผิวหนัง/เนื้อเยื่อที่เปียกน้ำให้แห้ง เพื่อลดจำนวนเชื้อโรค
3. การเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะ/ถุงรองรับฯ: ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับฯเมื่อพบว่า มีน้ำปัสสาวะประมาณ ¾ ของถุงรองรับฯ หรือทุก 6-8 ชั่วโมง หรือเมื่อจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงไปรถนั่ง หรือจากรถนั่งไปเตียง โดยในการเทออก ต้องไม่สัมผัสบริเวณปลายรูเปิดของถุงรองรับปัสสาวะ และใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดบริเวณรูเปิดของถุงรองรับฯก่อนและหลังเทน้ำปัสสาวะออกจากถุง แล้วจึงปิดรูเปิดของถุงรองรับปัสสาวะให้แน่น
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาก่อนนอนตอนกลางคืน ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับฯให้หมดก่อน เพราะจะได้ไม่ต้องตื่นในเวลากลางคืนมาเทน้ำปัสสาวะออก ช่วยให้นอนหลับได้อย่างสบายไม่ต้องกังวลว่าปัสสาวะจะเต็มถุงรองรับฯ นอกจากนั้นที่สำคัญอีกประการ คือ จัดการนอนเพื่อระมัดระวังการนอนทับสายสวนปัสสาวะ เพื่อป้องกันการกดทับสายสวนฯจนเกิดการคั่งค้างปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ที่จะเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
4. การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและผิวหนัง/เนื้อเยื่อรอบๆที่สอดสายสวนฯ: ควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง และสบู่ชนิดที่อ่อนโยน(สบู่เด็กอ่อน)อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และ เย็น(ก่อนนอน) และทุกครั้งหลังการขับถ่ายอุจจาระ เพื่อช่วยลดจำนวนเชื้อโรค และยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายหลังจากการขับถ่าย
วิธีทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและผิวหนัง/เนื้อเยื่อรอบๆสายสวนฯที่ถูกต้อง คือ ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง และด้วยสบู่ชนิดที่อ่อนโยน จากด้านหน้าของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ลงไปสู่ด้านหลังทางทวารหนักและจากด้านบนลงด้านล่าง โดยไม่ถูย้อนไป ย้อนมา แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งให้หมดคราบสบู่ ซับบริเวณที่ทำความสะอาด/บริเวณที่เปียกชื้นให้แห้ง เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะจากทวารหนักเข้าสู่รูเปิดท่อปัสสาวะและระบบทางเดินปัสสาวะ และยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายภายหลังการทำความสะอาด
อนึ่ง ไม่ควรใช้ แป้ง ครีม หรือ สเปรย์ บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและบริเวณ ผิวหนัง/เนื้อเยื่อใกล้เคียง เพราะจะสะสมเชื้อโรคได้มากขึ้น
5. ควรเปลี่ยนถุงปัสสาวะ เมื่อพบว่าถุงปัสสาวะ รั่ว หรือขาด(สังเกตได้จากมีน้ำปัสสาวะรั่วซึม/ถุงเปียกตลอดเวลา) และโดยทั่วไป ควรต้องเปลี่ยนถุงปัสสาวะทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนถุงปัสสาวะเร็วกว่านี้เมื่อเห็นว่า สกปรก หรือมีตะกอนจับในถุงปัสสาวะ หรือถุงปัสสาวะมีกลิ่นแรง
6. ควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพราะจะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ อาหารที่มีความเป็นกรด เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว นม ลูกพรุน ขนมปัง น้ำส้ม โดยเฉพาะน้ำกระเจี๊ยบที่มีผลการศึกษาพบว่า น้ำกระเจี๊ยบอาจช่วยขับปัสสาวะ และอาจลดแบคทีเรียในปัสสาวะได้
7. หลีกเลี่ยงการยกถุงรองรับปัสสาวะไว้สูงเหนือระดับเอว และหากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เช่น จากเตียงไปรถนั่ง หรือเดิน ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะก่อน หรือ หักพับสายสวนสวนปัสสาวะไว้ก่อนขณะที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อลดการไหลย้อนของปัสสาวะเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ และหลังจากเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแล้ว จึงให้ปล่อยสายสวนปัสสาวะเพื่อให้ปัสสาวะไหลตามปกติ
8. สังเกตอาการจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น มีตะกอน กลิ่นฉุนมากผิดปกติ ซึ่งถ้าพบอาการดังกล่าว แสดงว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ควรรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม
อนึ่ง จากผลการศึกษา ได้ข้อค้นพบที่น่าสนใจว่า ปัจจัยอื่นในการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะไว้ คือ
•
การเลือกขนาดสายสวนปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่เหมาะสมและให้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการบาดเจ็บบริเวณท่อปัสสาวะ
•
•
การตรึงสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่ให้เคลื่อนที่มากเพื่อลดการระคายเคืองของสายสวนฯกับท่อปัสสาวะ
•
•
การดูแลระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดตลอดเวลา และดูแลให้ปัสสาวะไหลสะดวกอยู่เสมอ เพื่อช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่จะเกิดสะสม กรณีมีการอุดตันของสายสวนฯ
•
*นอกจากนั้น ก่อนและหลังการสัมผัส สายสวนปัสสาวะ สายต่อระหว่างสายสวนฯกับถุงปัสสาวะ และตัวถุงปัสสาวะ ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอ ส่วนความ จำเป็นต้องสวมใส่ถุงมือยางทางการแพทย์หรือไม่ในการดูแลสายสวนฯและถุงปัสสาวะ ควรปรึกษาพยาบาลก่อนเสมอเพราะขึ้นกับความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากการคาสายสวนปัสสาวะ ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่การเลือกใช้สายสวนปัสสาวะที่มีขนาดเหมาะสม(ปรึกษากับ แพทย์/พยาบาลในการเลือกขนาด) ดูแลระหว่างคาสายสวนปัสสาวะให้ปัสสาวะไหลสะดวก ลดการคั่งค้างของปัสสาวะ รวมทั้งการดูแลความสะอาดบริเวณที่ใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อลดจำนวนเชื้อโรค
นอกจากนั้น ในการดูแล สายสวนฯ ถุงปัสสาวะ การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การเปลี่ยนสายถุงปัสสาวะ และการทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอก/ผิวหนัง/เนื้อเยื่อบริเวณใส่สายสวนฯเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ควรต้องเรียนรู้วิธีการ จากพยาบาลจนเข้าใจ และจนรู้สึกมั่นใจในการจะทำได้เองที่บ้าน
ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน/
การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง ใส่สายสวนปัสสาวะ ภาษาอังกฤษ สายสวนปัสสาวะ ราคาวิธีใช้ถุงปัสสาวะ การสวนปัสสาวะด้วยตนเอง สวนปัสสาวะ pantip การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ ppt การทําความสะอาดสายสวนปัสสาวะ