จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ข้อดีของการให้บริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน



สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน

ผมชื่อบุญยิ่ง ฤกษ์อุดม ครับ เปิดเพจ การให้บริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ซึ่งคิดว่าจะมีประโยชน์ต่อ ตัวผู้ป่วยเอง ญาติ หรือ น้องๆ ที่รู้จักกับผู้ป่วย หรือญาติที่ต้องการ การดูแล ลักษณะนี้นะครับ

ประสพการณ์การทำงานในโรงพยาบาล 25 ปี ทั้งเป็นพยาบาลปฏิบัติการ เป็นผู้บริหารระดับกลางและเป็นผู้ตรวจการพยาบาล ทำให้ได้เห็นปัญหาของผู้ป่วยและญาติ หลายประการ

และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ การนำผู้ป่วยอาการหนัก หรือ ใส่สายยางต่างๆ มาโรงพยาบาลเพียงแค่มารับบริการง่ายๆ เช่น การเปลี่ยนสายอาหารหรือ สายสวนปัสสาวะ

ผู้ป่วย 1 คน ต้องมีญาติหรือคนดูแลมาด้วยอีกอย่างน้อย 1 คน ต้องยก-แบกขึ้นรถ หรือ อาจจะต้องเรียกรถพยาบาลซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก มาถึงโรงพยาบาลก็อาจจะต้องทุลักทุเล ยกลงจากรถ ขึ้นรถเข็น แล้วไปขึ้นเตียง แถมยังต้องรอนานไปอีก ตามลักษณะการบริการ ของจุดให้บริการที่แต่ละโรงพยาบาลจัดไว้ให้

ถ้าคิดเป็นค่าใช้จ่ายและเวลาแล้วก็ น่าจะมากอยู่

ผมมีทีมงานพยาบาลวิชาชีพ และ ผู้ช่วยพยาบาล ที่มีประสพการณ์ในการดูแลผู้ป่วย ที่จะสามารถไปให้บริการลักษณะนี้ได้ที่บ้านท่าน  โดยที่ท่านไม่ต้องนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล

อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ จะเป็นมาตรฐานเดียวกับที่เราใช้ในโรงพยาบาล นะครับ

ท่านที่สนใจสามารถสอบถามหรือติดต่อได้ทุกช่องทางการสื่อสารที่ให้ไว้นะครับ

บุญยิ่ง ฤกษ์อุดม


ภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดบาดแผลและการทำแผล

ภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดบาดแผลและการทำแผล



หลังการทำแผล ผู้ป่วยควรดูแลรักษาความสะอาดและสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการพักฟื้น เพราะเมื่อเกิดบาดแผลขึ้น ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมาได้ แม้บาดแผลจะมีความสะอาด แต่บริเวณอวัยวะที่เกิดแผลอาจเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่าย

หลังเกิดแผล หรือแม้แต่หลังทำแผลแล้ว ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้

โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นโรคติดเชื้อของผิวหนังและเนื่อเยื่อใต้ผิวหนังชนิดที่ยังไม่ทำให้เกิดเนื้อตาย และหากมีการติดเชื้อรุนแรงก็อาจเสี่ยงทำให้เนื้อเยื่อเน่าหรือตายได้

โรคหนังเน่า (Gas Gangrene) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

การติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก หากไม่ได้รับวัคซีนป้องกันอย่างเหมาะสม


ดังนั้น ผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ แล้วรีบไปพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้

แผลไม่ดีขึ้นแม้เวลาผ่านไป
บาดแผลมีเลือดไหลออกมาเรื่อย ๆ
แผลมีอาการบวมเพิ่มขึ้น
แผลมีอาการแดงและขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รอบแผล หรือมีรอยแดงเกิดขึ้นตามผิวหนังรอบ ๆ แผล
เกิดความเจ็บปวดแม้หลังรับประทานยาแก้ปวดแล้ว หรือความเจ็บปวดนั้นขยายออกไปเป็นวงกว้างจากบาดแผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
บาดแผลมีสีคล้ำและแห้ง ขยายขนาดใหญ่ขึ้น หรือมีความลึกมากขึ้น
มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากแผล
มีหนองสีเขียว เหลือง หรือสีน้ำตาล และหนองที่เกิดขึ้นนั้นส่งกลิ่นเหม็น
มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ยาวนานเกินกว่า 4 ชั่วโมง
มีก้อนที่กดแล้วเจ็บเกิดขึ้นบริเวณรักแร้หรือขาหนีบซึ่งเป็นเพราะต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อลุกลาม


ที่มา : https://www.pobpad.com/ทำแผล-ขั้นตอน-วิธีการ-แล/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง แผลเปิด การส่งเสริมการหายของแผล การพยาบาลผู้ป่วยที่มีบาดแผล ประเภทของแผล แผลลึก แผลเย็บไม่ติด ตัดไหม  แผลไม่ติด แผลไม่สมาน

การดูแลผู้ป่วยมีแผล

การล้างแผลที่บ้าน


แผลมีหลายแบบนะครับ ผมขอพูดถึงเฉพาะเรื่อง บาดแผลที่มีการรักษามาแล้วจากโรงพยาบาล เช่นแผลผ่าตัดต่างๆ ในที่นี้ ไม่รวมถึงแผลกดทับ นะครับ

การดูแลตนเองหลังการทำแผล

หลังทำแผลแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเริ่มเกิดกระบวนการอักเสบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล โดยจะเริ่มมีอาการบวม แดง และเจ็บปวดบริเวณบาดแผล ซึ่งบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ

ปิดแผลไว้ หรือรักษาความสะอาดบริเวณที่เกิดแผล ให้แผลแห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้แผลสมานตัวดีและเร็วขึ้น

ต้องล้างมือให้สะอาดขณะล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลเสมอ ในบางราย แพทย์จะแนะนำขั้นตอน วิธีการ และความบ่อยในการเปลี่ยนผ้าพันแผลด้วยตนเองที่บ้าน

ในรายที่มีแผลรุนแรงและผ่านการผ่าตัดมา ควรรอ 2-4 วันหลังผ่าตัดทำแผลแล้วจึงอาบน้ำได้ หรือสอบถามข้อมูลและคำแนะนำจากแพทย์ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่กลับไปอาบน้ำ

หลีกเลี่ยงการแช่ในอ่างอาบน้ำหรือการว่ายน้ำจนกว่าแผลจะหายดี หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ

เมื่อแผลเริ่มแห้งและสมานตัว อาจเกิดสะเก็ดแผลและรอยแผลเป็นขึ้น โดยผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาแผลบริเวณที่แห้งและตกสะเก็ด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผิวหนังด้านล่างจนแผลสมานตัวช้าลงไปอีก และป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นที่รุนแรงขึ้น

หลังแผลหายดี แล้วมีรอยแผลเป็นปรากฏขึ้น ให้นวดหรือทาบริเวณแผลเป็นนั้นด้วยโลชั่นหรือปิโตรเลียมเจลลี่ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ผิวโดยรอบ เพื่อรักษาบรรเทาความรุนแรงของรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น

ป้องกันสัตว์เลี้ยงมาอยู่ใกล้บริเวณที่เป็นแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ผู้ป่วยอายุน้อยจะมีการสมานตัวของแผลเร็วกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจกระทบต่อบาดแผลและกระบวนการสมานอย่างการเล่นกีฬาไปก่อนจนกว่าแผลจะหายดี

ในระหว่างที่พักฟื้น ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีน อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูงอย่างพวกผักผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูงอย่างพวกธัญพืช

ดูแลรักษาสุขภาพของตน ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และไปพบแพทย์ตามนัดหมายเสมอ



ที่มา : https://www.pobpad.com/ทำแผล-ขั้นตอน-วิธีการ-แล/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง แผลเปิด การส่งเสริมการหายของแผล การพยาบาลผู้ป่วยที่มีบาดแผล ประเภทของแผล แผลลึก แผลเย็บไม่ติด ตัดไหม  แผลไม่ติด แผลไม่สมาน

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ข้อควรระวังขณะที่คาสายสวนปัสสาวะ / อาการที่ควรรีบพบแพทย์

ข้อควรระวังขณะที่คาสายสวนปัสสาวะ


1.หลีกเลี่ยงการปลดข้อต่อระหว่างสายสวนปัสสาวะกับข้อต่อถุงรองรับปัสสาวะ เพราะมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนเชื้อ และต้องตรวจสอบข้อต่อให้ปิดแน่นสนิทเพื่อป้องกันการรั่วซึมของปัสสาวะที่จะเพิ่มโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้

2. ขณะที่ผู้ป่วย ยืน หรือเดิน ต้องดูแลถุงรองรับปัสสาวะให้อยู่ต่ำกว่าระดับ เอวประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อลดการไหลย้อนของปัสสาวะเข้าไปในสายสวนปัสสาวะ

3. ไม่ปล่อยให้ถุงรองรับปัสสาวะวางติดกับพื้นห้อง เพราอาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย

4. ควรสังเกตว่ามีน้ำปัสสาวะไหลซึมออกมาจากส่วนตรงอวัยวะเพศ/ท่อปัสสาวะกับสายสวนฯหรือไม่ ถ้ามีปัสสาวะไหลซึมออกมา อาจเกิดจากน้ำกลั่นที่ใส่ไว้ในสวนบอลลูน(ใช้เป็นตัวช่วยยึดให้สายสวนฯคาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ)ของหัวสายสวนฯมีการรั่ว หรือถ้ามีปัสสาวะไหลซึมตามสายสวนปัสสาวะ แสดงว่า สายสวนฯ มีการฉีกขาด หรือรั่ว ในทั้ง 2 กรณีดังกล่าว ให้รีบมาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ หรือพยาบาลจะเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะให้ใหม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

5. ควรสังเกตว่ามีน้ำปัสสาวะซึมออกจากท่อของถุงปัสสาวะ และ/หรือจากตัวถุงปัสสาวะหรือไม่ ถ้ามีควรต้องเปลี่ยนชุดถุงปัสสาวะใหม่

ผู้ป่วยใส่คาสายสวนปัสสาวะควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

มีอาการ หรืออาการแสดงของการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ดังกล่าวในหัวข้อ ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่คาสายสวนปัสสาวะ

ปัสสาวะเป็นเลือด

มีบาดแผล มีเลือดออก และ/หรือมีหนอง ในเนื้อเยื่ออวัยวะเพศภายนอก/เนื้อเยื่อรอบๆสายสวนฯ หรือตรงรูเปิดของท่อปัสสาวะ

รู้สึกเจ็บ หรือระคายเคืองอวัยวะเพศภายนอก/เนื้อเยื่อรอบๆท่อปัสสาวะ ในท่อปัสสาวะ และ/หรือในกระเพาะปัสสาวะมาก หรืออาการระคายเคือง เจ็บนี้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

มีปัสสาวะรั่วซึมจากสายสวนปัสสาวะ หรือ สายสวนปัสสาวะเสื่อม เช่น แตก เปื่อย

เมื่อกังวลในอาการต่างๆที่เกิดขึ้น หรือในการดำรงชีวิตประจำวันที่เกิดจากการใส่คาสายสวนปัสสาวะ



ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง ใส่สายสวนปัสสาวะ ภาษาอังกฤษ สายสวนปัสสาวะ ราคาวิธีใช้ถุงปัสสาวะ การสวนปัสสาวะด้วยตนเอง สวนปัสสาวะ pantip การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ ppt การทําความสะอาดสายสวนปัสสาวะ

การป้องกันการติดเชื้อผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ

การป้องกันการติดเชื้อผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ : ควรดูแลดังนี้



1. ดูแลสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิด คือ ตั้งแต่ข้อต่อสายสวนปัสสาวะและสายต่อกับถุงรองรับปัสสาวะ ต้องให้ปิดอยู่ตลอดเวลา ระมัดระวังไม่ให้ข้อต่อหลุด หรือเปิดออก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ
หากข้อต่อหลุด ให้ใช้สำลีชุบแอกอฮอล์ 90% เช็ดปลายข้อต่อที่สายสวนปัสสาวะและที่ปลายสายข้อต่อกับถุงรองรับปัสสาวะ แล้วจึงต่อสายสวนปัสสาวะเข้ากับถุงรองรับน้ำปัสสาวะไว้เหมือนเดิม

2. การทำความสะอาดสายสวนปัสสาวะที่คาอยู่: โดยใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง(ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำอุ่น) ล้างสายสวนฯ หลังจากนั้นฟอกสายสวนฯด้วยสบู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งให้สะอาด พร้อมซับสายสวนฯ และผิวหนัง/เนื้อเยื่อที่เปียกน้ำให้แห้ง เพื่อลดจำนวนเชื้อโรค

3. การเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะ/ถุงรองรับฯ: ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับฯเมื่อพบว่า มีน้ำปัสสาวะประมาณ ¾ ของถุงรองรับฯ หรือทุก 6-8 ชั่วโมง หรือเมื่อจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงไปรถนั่ง หรือจากรถนั่งไปเตียง โดยในการเทออก ต้องไม่สัมผัสบริเวณปลายรูเปิดของถุงรองรับปัสสาวะ และใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดบริเวณรูเปิดของถุงรองรับฯก่อนและหลังเทน้ำปัสสาวะออกจากถุง แล้วจึงปิดรูเปิดของถุงรองรับปัสสาวะให้แน่น
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาก่อนนอนตอนกลางคืน ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับฯให้หมดก่อน เพราะจะได้ไม่ต้องตื่นในเวลากลางคืนมาเทน้ำปัสสาวะออก ช่วยให้นอนหลับได้อย่างสบายไม่ต้องกังวลว่าปัสสาวะจะเต็มถุงรองรับฯ นอกจากนั้นที่สำคัญอีกประการ คือ จัดการนอนเพื่อระมัดระวังการนอนทับสายสวนปัสสาวะ เพื่อป้องกันการกดทับสายสวนฯจนเกิดการคั่งค้างปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ที่จะเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

4. การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและผิวหนัง/เนื้อเยื่อรอบๆที่สอดสายสวนฯ: ควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง และสบู่ชนิดที่อ่อนโยน(สบู่เด็กอ่อน)อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และ เย็น(ก่อนนอน) และทุกครั้งหลังการขับถ่ายอุจจาระ เพื่อช่วยลดจำนวนเชื้อโรค และยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายหลังจากการขับถ่าย
วิธีทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและผิวหนัง/เนื้อเยื่อรอบๆสายสวนฯที่ถูกต้อง คือ ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง และด้วยสบู่ชนิดที่อ่อนโยน จากด้านหน้าของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ลงไปสู่ด้านหลังทางทวารหนักและจากด้านบนลงด้านล่าง โดยไม่ถูย้อนไป ย้อนมา แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งให้หมดคราบสบู่ ซับบริเวณที่ทำความสะอาด/บริเวณที่เปียกชื้นให้แห้ง เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะจากทวารหนักเข้าสู่รูเปิดท่อปัสสาวะและระบบทางเดินปัสสาวะ และยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายภายหลังการทำความสะอาด
อนึ่ง ไม่ควรใช้ แป้ง ครีม หรือ สเปรย์ บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและบริเวณ ผิวหนัง/เนื้อเยื่อใกล้เคียง เพราะจะสะสมเชื้อโรคได้มากขึ้น

5. ควรเปลี่ยนถุงปัสสาวะ เมื่อพบว่าถุงปัสสาวะ รั่ว หรือขาด(สังเกตได้จากมีน้ำปัสสาวะรั่วซึม/ถุงเปียกตลอดเวลา) และโดยทั่วไป ควรต้องเปลี่ยนถุงปัสสาวะทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนถุงปัสสาวะเร็วกว่านี้เมื่อเห็นว่า สกปรก หรือมีตะกอนจับในถุงปัสสาวะ หรือถุงปัสสาวะมีกลิ่นแรง

6. ควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพราะจะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ อาหารที่มีความเป็นกรด เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว นม ลูกพรุน ขนมปัง น้ำส้ม โดยเฉพาะน้ำกระเจี๊ยบที่มีผลการศึกษาพบว่า น้ำกระเจี๊ยบอาจช่วยขับปัสสาวะ และอาจลดแบคทีเรียในปัสสาวะได้

7. หลีกเลี่ยงการยกถุงรองรับปัสสาวะไว้สูงเหนือระดับเอว และหากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เช่น จากเตียงไปรถนั่ง หรือเดิน ควรเทน้ำปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะก่อน หรือ หักพับสายสวนสวนปัสสาวะไว้ก่อนขณะที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อลดการไหลย้อนของปัสสาวะเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ และหลังจากเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแล้ว จึงให้ปล่อยสายสวนปัสสาวะเพื่อให้ปัสสาวะไหลตามปกติ

8. สังเกตอาการจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น มีตะกอน กลิ่นฉุนมากผิดปกติ ซึ่งถ้าพบอาการดังกล่าว แสดงว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ควรรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม

อนึ่ง จากผลการศึกษา ได้ข้อค้นพบที่น่าสนใจว่า ปัจจัยอื่นในการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายปัสสาวะไว้ คือ

การเลือกขนาดสายสวนปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่เหมาะสมและให้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการบาดเจ็บบริเวณท่อปัสสาวะ

การตรึงสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่ให้เคลื่อนที่มากเพื่อลดการระคายเคืองของสายสวนฯกับท่อปัสสาวะ

การดูแลระบบการระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิดตลอดเวลา และดูแลให้ปัสสาวะไหลสะดวกอยู่เสมอ เพื่อช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่จะเกิดสะสม กรณีมีการอุดตันของสายสวนฯ

*นอกจากนั้น ก่อนและหลังการสัมผัส สายสวนปัสสาวะ สายต่อระหว่างสายสวนฯกับถุงปัสสาวะ และตัวถุงปัสสาวะ ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอ ส่วนความ จำเป็นต้องสวมใส่ถุงมือยางทางการแพทย์หรือไม่ในการดูแลสายสวนฯและถุงปัสสาวะ ควรปรึกษาพยาบาลก่อนเสมอเพราะขึ้นกับความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากการคาสายสวนปัสสาวะ ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่การเลือกใช้สายสวนปัสสาวะที่มีขนาดเหมาะสม(ปรึกษากับ แพทย์/พยาบาลในการเลือกขนาด) ดูแลระหว่างคาสายสวนปัสสาวะให้ปัสสาวะไหลสะดวก ลดการคั่งค้างของปัสสาวะ รวมทั้งการดูแลความสะอาดบริเวณที่ใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อลดจำนวนเชื้อโรค

นอกจากนั้น ในการดูแล สายสวนฯ ถุงปัสสาวะ การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การเปลี่ยนสายถุงปัสสาวะ และการทำความสะอาดอวัยวะเพศภายนอก/ผิวหนัง/เนื้อเยื่อบริเวณใส่สายสวนฯเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ควรต้องเรียนรู้วิธีการ จากพยาบาลจนเข้าใจ และจนรู้สึกมั่นใจในการจะทำได้เองที่บ้าน

ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลผู้ใส่คาสายสวนปัสสาวะเมื่ออยู่บ้าน/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง ใส่สายสวนปัสสาวะ ภาษาอังกฤษ สายสวนปัสสาวะ ราคาวิธีใช้ถุงปัสสาวะ การสวนปัสสาวะด้วยตนเอง สวนปัสสาวะ pantip การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ ppt การทําความสะอาดสายสวนปัสสาวะ

การดูแลผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ

การดูแลผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ


สายสวนปัสสาวะ ใช้สำหรับระบายปัสสาวะออกจากร่างกาย ผู้ป่วยที่มีภาวะจำเป็นต้องใส่ สายสวนปัสสาวะ(Urinary catheter) คือผู้ที่มีปัญหาการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ หรือระบบปัสสาวะสูญเสียหน้าที่ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น ผู้ที่เป็นอัมพาต

ผู้ป่วยบางรายมีความจำเป็นต้องใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ชั่วคราวเพื่อการรักษา

ผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ เมื่ออยู่โรงพยาบาล และต้องกลับไปดูแลต่อเองที่บ้าน และต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือที่สถานบริการสุขภาพต่างๆเพื่อรับการรักษาเป็นระยะๆ จึงมีความจำเป็ฯต้องได้รับการดูแล อย่างถูกต้อง

ผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ มีหลักการดูแล คือ
1.ปัสาวะไหลสะดวก
1. ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆประมาณ วันละ 2,500-3,000 มิลลิลิตร(2.5-3ลิตร) เพื่อช่วยชะล้างสิ่งอุดกั้นภายในทางเดินปัสสาวะ และช่วยขับของเสียในทางเดินปัสสาวะออกมาได้สะดวกมากขึ้น

ยกเว้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ต้องจำกัดน้ำอย่างเคร่งครัดตามแผนการรักษา หรือโรคที่แพทย์ให้จำกัดปริมาณน้ำดื่ม

2. ดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้ หัก พับ หรือ งอ ควรตรึงสายสวนปัสสาวะไว้กับตัวผู้ป่วยด้วยพลาสเตอร์ กรณีผู้ป่วยผู้หญิง ควรติดพลาสเตอร์ตรึงสายสวนฯที่บริเวณหน้าขาด้านใน ส่วนกรณีผู้ป่วยผู้ชาย ควรติดพลาสเตอร์ตรึงสายสวนที่ บริเวณหน้าท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง และหากพบว่าพลาสเตอร์ที่ติดไว้สกปรก สามารถเปลี่ยนได้บ่อยตามที่ต้องการ เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคที่อาจเข้าไปในสายสวนปัสสาวะ

3. ขณะนอน สายสวนปัสสาวะและสายที่ต่อกับถุงปัสสาวะ(ถุงรองรับปัสสาวะ) ควรยึดติดไว้กับที่นอน/เตียงนอน เพื่อลดการเคลื่อนที่ของสายฯดังกล่าว

4. ถุงรองรับปัสสาวะ ควรให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้ปัสสาวะไหลลงถุงรองรับปัสสาวะได้สะดวกโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก

5. ควรใช้มือบีบรูดสายสวนปัสสาวะบ่อยๆ เพื่อช่วยป้องกันตะกอนอุดตันสายสวนปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม การใช้มือบีบรูดสายสวนปัสสาวะ ต้องใช้ความระมัดระวังการเกิดการดึงรั้งระหว่างสายสวนปัสสาวะกับท่อปัสสาวะ จนอาจเกิดการบาดเจ็บกับท่อปัสสาวะและ/หรือกับเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่สายสวนฯคาอยู่ได้ ดังนั้น ผู้ป่วย หรือผู้ดูแล ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือจากพยาบาลในการบีบรูดสายสวนปัสสาวะจนเข้าใจ ก่อนนำไปปฏิบัติเองที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย

2.การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการดูแล ผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะ โปรดอ่านเรื่อง การป้องกันการติดเชื้อผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะ




การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง ใส่สายสวนปัสสาวะ ภาษาอังกฤษ สายสวนปัสสาวะ ราคาวิธีใช้ถุงปัสสาวะ การสวนปัสสาวะด้วยตนเอง สวนปัสสาวะ pantip การเปลี่ยนถุงปัสสาวะ การดูแลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ ppt การทําความสะอาดสายสวนปัสสาวะ

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ควรพาผู้ป่วยที่ใส่สายยางให้อาหารมาพบแพทย์ เมื่อใด

ควรพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ เมื่อใด /

มาโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัดเสมอ

หรือหากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติควรรีบพาผู้ป่วยมาโรงพยาบาลก่อนนัด เช่น

ผู้ป่วยมีอาการท้องผูกมาก
ท้องเสียมาก หรือ
อาการสำลักอาหารบ่อย
น้ำหนักตัวลดลง
ทั้งนี้เพื่อแพทย์ตรวจพิจารณาหาสาเหตุและปรับการให้อาหารทางสายให้อาหาร หรือใช้วิธีการรักษาอื่นตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย

ที่มา : http://haamor.com/การดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร

ภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) ที่อาจเกิดจากให้อาหารทางสายให้อาหาร

ภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง)
ที่อาจเกิดจากให้อาหารทางสายให้อาหารเช่น


1.สายฯเลื่อนหลุดจากกระเพาะอาหารทำให้ของเหลว/น้ำย่อย/อาหารในกระเพาะอาหารไหลย้อน ขึ้นไปอยู่ในหลอดอาหารเมื่อผู้ป่วยนอนลงอาจทำให้อาหารเข้าไปให้หลอดลมจนอาจก่อให้เกิดภาวะปอดอักเสบ/ปอดบวมได้

2. การให้อาหารเร็วเกินไปจะกระตุ้นทำให้เกิดอาการท้องอืด/อึดอัดในท้อง

3. อุณหภูมิของอาหารที่ร้อนหรือเย็นเกินไปอาจทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารทำให้เกิดอาการปวดท้อง จุก/เสียดท้อง

4. ท้องผูก ผู้ที่ได้รับอาหารทางสายฯมักได้รับอาหารที่มีใยอาหารไม่เพียงพอจึงมีโอกาสเกิดท้องผูกได้ง่าย

5. ท้องเสียที่อาจเกิดจากอาหารที่ได้รับเข้าไปทางสายฯอาจไม่สามารถถูกย่อยและ/หรือถูกดูดซึมได้หรืออาจเกิดจากอาหารบูดเน่า โดยทั่วไปอาหารที่ให้ทางสายให้อาหารจะเป็นอาหารปั่น ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง อาหารที่เตรียมเสร็จแล้วแต่ยังไม่ถึงมื้ออาหารที่จะให้ครั้งต่อไป ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นและนำมาอุ่นก่อนที่จะให้อาหารในมื้อนั้นๆ

ส่วนการป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวสามารถทำได้งายๆโดย

ตรวจสอบสายให้อาหารว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องทุกครั้งก่อนให้อาหาร

ขณะให้อาหาร ควรให้อาหารไหลไปอย่างช้าๆ หลีกเลี่ยงการใช้แรงดันกระบอกให้อาหาร และควรอุ่นอาหารก่อนการให้อาหารจะช่วยลดอาการแน่นอึดอัดท้อง

การให้อาหารที่มีใยอาหารสูงพร้อมกับการให้น้ำระหว่างมื้ออาหารอย่างเพียงพอเช่น หลังให้อาหารไปแล้ว 3 ชั่วโมงควรให้น้ำครั้งละ 50 - 100 มิลลิลิตรเมื่อผู้ป่วยไม่มีข้อห้ามการจำกัดน้ำดื่มจะช่วยลดอาการท้องผูกลงได้

อย่างไรก็ตามหากพบผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากการให้อาหารทางสายให้อาหารจนมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเช่น ท้องผูกหรือท้องเสียที่รุนแรงหรือที่มีอาการตลอดเวลา ควรรีบปรึกษาแพทย์และ/หรือพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำให้การช่วยเหลือบำบัดรักษาอาการผู้ป่วย

ที่มา : http://haamor.com/การดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร

การดูแลสายให้อาหาร

การดูแลสายให้อาหารที่สำคัญคือ


1. การดูแลสายให้อาหาร: หากพบว่าพลาสเตอร์ที่ปิดตรึงสายฯบริเวณสันจมูก (ตำแหน่งที่สอดใส่สายฯเข้าในช่องจมูกเพื่อให้สายฯอยู่กับที่เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุด) สกปรก ควรใช้สำลีสะอาดชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาด และจะช่วยให้พลาสเตอร์ลอกออกได้ง่ายแล้วจึงเปลี่ยนพลาสเตอร์อันใหม่
ส่วนสายฯในส่วนที่อยู่นอกช่องจมูก ควรทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มๆชุบน้ำเปล่าสะอาด หลังจากนั้นจึงเช็ดสายฯให้แห้ง

2. การเปลี่ยนสายให้อาหาร: ตามปกติสายให้อาหารที่ใช้กับผู้ป่วยมักจะใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหรือน้อยกว่านั้น เมื่อเห็นว่าสายฯขุ่นสกปรก หรือมีอาหารอุดตันทำให้อาหารไม่สามารถไหล ลงไปได้ หรือสายให้อาหารรั่ว (สังเกตจากมีน้ำหรือเศษอาหารซึมออกมาในช่วงให้อาหาร/ให้ยา) จำเป็นต้องเปลี่ยนสายให้อาหารใหม่เสมอไม่ต้องรอจนถึง 1 เดือน


กรณีผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล พยาบาลจะเป็นผู้เปลี่ยนสายฯใหม่ให้ผู้ป่วย แต่หากผู้ป่วยอยู่ที่บ้าน ญาติหรือผู้ดูแลที่ได้รับการสอนหรือการแนะนำอย่างดีจากพยาบาลจนมีความรู้มีความพร้อม และมั่นใจว่าจะใส่สายฯได้เองอย่างถูกต้องและปลอดภัยต่อผู้ป่วย ก็สามารถเปลี่ยนถอดและใส่สายฯใหม่ให้ผู้ป่วยได้

ทั้งนี้ญาติ/ผู้ดูแลต้องรู้จักการวัดตำแหน่งความลึกของสายฯที่จะใส่ การทดสอบสายฯให้อยู่ในตำแหน่งกระเพาะอาหารด้วยการดูดน้ำย่อย หรือใช้ลมดันเข้าไปในสายฯประมาณ 10 - 15 มิลลิลิตรและใช้หูฟังบริเวณกระเพาะอาหารทางด้านซ้ายของช่องท้องที่จะได้ยินเสียงลมผ่านสายฯ

จึงมั่นใจได้ว่าสายให้อาหารอยู่ในกระเพาะอาหาร และใช้พลาสเตอรืปิดสายให้อาหารยึดตรึงกับสันจมูกเพื่อป้องกันสายฯเลื่อนหลุด

อย่างไรก็ตามถ้าญาติหรือผู้ดูแลไม่มั่นใจในการจะเปลี่ยนสายให้อาหารให้แก่ผู้ป่วย สามารถ นำผู้ป่วยมาโรงพยาบาลหรือมาสถานีอนามัยใกล้บ้านเพื่อให้พยาบาลช่วยเปลี่ยนสายฯให้ใหม่

ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร

วิธีให้อาหารทางสายให้อาหารที่ปลอดภัย

วิธีให้อาหารทางสายให้อาหารที่ปลอดภัย


วิธีให้อาหารทางสายให้อาหารที่ปลอดภัย ลดโอกาสติดเชื้อจากอาหาร และลดโอกาสสำลักอาหารได้แก่

1.ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการเตรียมอุปกรณ์การให้อาหารทางสายให้อาหารและ ในการให้อาหารเพื่อช่วยลดจำนวนเชื้อโรค

2. เตรียมอาหารและอุปกรณ์การให้อาหารมาที่เตียงผู้ป่วยหรือที่ผู้ป่วยนั่งอยู่เพื่อสะดวกในการให้อาหารแก่ผู้ป่วย

3. แจ้งผู้ป่วยให้ทราบว่าจะให้อาหารเพื่อให้ทราบและพร้อมในการให้อาหาร ในบางครั้งถ้าพบว่าผู้ป่วยมีเสมหะ ต้องดูดเสมหะออกก่อนการให้อาหารเพื่อป้องกันการสำลักอาหารขณะให้อาหาร

4. จัดท่าเพื่อให้อาหารไหลสู่กระเพาะอาหารได้ดีลดโอกาสเกิดการสำลัก โดยจัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30 - 60 องศา (กรณีผู้ป่วยลุกนั่งไม่ได้) หรือจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลัง

5. ใส่สายให้อาหารผ่านรูจมูกด้านใดด้านหนึ่ง ผ่านลำคอ ผ่านหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร

6. เปิดจุกปลายสายให้อาหาร และเช็ดรอบรูเปิดด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือน้ำต้มสุก เพื่อทำความสะอาดอุปกรณ์และลดจำนวนเชื้อโรค

7. ต่อหัวกระบอกให้อาหาร (Syringe feeding) เข้ากับรูเปิดของสายให้อาหารโดยสำรวจให้กระชับและแน่น แล้วค่อยๆดูดน้ำย่อยอาหารหรืออาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออก ให้สังเกตปริมาณและลักษณะสิ่งที่ดูดออกมาเพื่อเป็นการทดสอบตำแหน่งของสายให้อาหารว่าอยู่ถูกต้องในกระเพาะอาหารหรือไม่ ป้องกันการเลื่อนหลุดและป้องกันการสำลักอาหารเนื่องจากการไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดลม ถ้าดูดออกมาได้มากเกิน 50 มิลลิลิตรให้ใส่น้ำย่อยหรืออาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารที่ดูดได้กลับเข้าไป และเลื่อนมื้ออาหารนั้นออกไป 1 ชั่วโมงเพื่อให้เวลากับการย่อยอาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงต่อมาหากตรวจสอบพบว่ายังมีน้ำย่อยหรืออาหารค้างในกระเพาะอาหารเกิน 50 มิลลิลิตร ให้งดให้อาหารมื้อนั้นและให้อาหารในมื้อต่อไปได้ ซึ่งตามปกติจะให้อาหารวันละ 3 - 4 มื้อเช่น 7.00, 12.00, 17.00 และ 20.00 น.

8. หลังตรวจสอบตามข้อ 6 แล้ว เมื่อจะเริ่มให้อาหาร ให้พับสายให้อาหารที่ใกล้กับรูเปิด ของสายให้อาหาร สำรวจกระบอกให้อาหารที่ต่อกับสายให้อาหารให้เรียบร้อยแล้วให้กระชับแน่น นำอาหารเทลงไปในกระบอกให้อาหารประมาณ 50 มิลลิลิตรแล้วจึงค่อยๆปล่อยสายให้อาหารที่พับไว้ ยกกระบอกให้อาหารขึ้นสูงพอประมาณเพื่อช่วยให้อาหารค่อยๆไหลลงไปตามสาย เมื่ออาหารใกล้หมดเหลืออีกประมาณ 10 มิลลิลิตรจึงเทอาหารลงไปอีก ทำเช่นนี้จนอาหารที่เตรียมมาหมด และควรให้น้ำสะอาดตามลงไปอีกประมาณ 50 มิลลิลิตรหลังจากให้อาหารหมดแล้ว เพื่อช่วยล้างสายให้อาหารเพื่อลดการบูดเน่าของเศษอาหารที่ค้างอยู่ตามสายให้อาหาร

9. กรณีที่ให้ยา ถ้าเป็นยาเม็ดควรบดยาให้ละเอียดก่อนการให้ยาผ่านลงไปในสายให้อาหาร ถ้าเป็นยาที่เป็นแคปซูลควรแกะแคปซูลออกก่อน แต่ถ้าเป็นยาน้ำสามารถนำมาให้ผ่านสายฯ ได้เลย

ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร/

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บทนำการให้อาหารทางสายให้อาหาร

บทนำการดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร


ตามปกติคนเราสามารถรับประทานอาหารได้เองทางปาก ไม่ต้องมีญาติหรือผู้อื่นมาช่วยเหลือในการรับประทานอาหาร 

แต่ทว่าในบางราย บุคคลที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากหรือได้รับอาหารทางปากไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายด้วยสาเหตุจากมีปัญหาจากการกลืนอาหาร หรือจากความเจ็บป่วยใดๆก็ตามเช่น เจ็บในช่องปากและช่องคอมากจากช่องปากและช่องคออักเสบ 

จึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอโดยผ่านทางสาย/ท่อให้อาหารที่ผ่านจากช่องจมูกข้างใดข้างหนึ่ง (ซ้ายหรือขวาก็ได้) เข้าสู่ช่องคอจนเข้าสู่กระเพาะอาหารที่เรียกว่า “สายให้อาหาร(Nasogastric feeding tube; NG tube)” ซึ่งเรียกการให้อาหารผ่านสายให้อาหารนี้ว่า “Nasogastric tube feeding หรือ NG tube feeding” 

ทั้งนี้เพื่อทดแทนการได้รับอาหารจากทางปาก ซึ่งการให้อาหารผ่านสายให้อาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันจึงช่วยคงสมดุลของการทำงานของร่างกายของเรา

การให้อาหารผ่านทางสายให้อาหารต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการดูแลขณะผู้ป่วยได้รับอาหารในแต่ละครั้ง 

ในบทความนี้จึงขอนำเสนอการดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหารซึ่งญาติหรือผู้ดูแลสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดูแลบุคคลที่ต้องให้อาหารทางสายให้อาหารได้อย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากการให้อาหารด้วยวิธีการนี้อันจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการได้รับอาหารทางสายให้อาหาร

การให้อาหารทางสายให้อาหารเป็นการใส่สายยาง/ท่อยางผ่านทางรูจมูกจนถึงกระเพาะอาหาร

ผ่านเข้าไปในกระเพาะอาหารเป็นอาหารปั่นผสม (Blenderized diet) ที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการที่รวมไปถึงปริมาณของอาหารที่พอเหมาะในแต่ละมื้ออาหารโดยผู้ป่วยไม่ต้องเคี้ยวหรือกลืนอาหารนั้นๆ 

ทั้งนี้ระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารของกระเพาะอาหารผู้ป่วยจะต้องยังคงทำงานปกติเหมือนในการกิน/การเคี้ยวอาหารจึงจะสามารถให้อาหารผู้ป่วยทางสายให้อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อนึ่งสายให้อาหารจะเป็นท่อกลวงกลมยาวทำด้วยยางหรือพลาสติก มีได้หลายขนาดโดยแพทย์/พยาบาลจะเลือกใช้ตามขนาดที่เหมาะสมกับรูจมูกและขนาดความยาวลำตัวช่วงบนของผู้ป่วย 

ทั้งนี้หน่วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของสายฯนี้เรียกว่า French (Fr), 1 Fr = 0.33 มิลลิเมตร, ซึ่งขนาดทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่ไทยจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 14 - 16 Fr และมีความยาวประ มาณ 42 - 50 นิ้วหรือ 105 - 125 เซนติเมตร


ที่มา : http://haamor.com/th/การดูแลการให้อาหารทางสายให้อาหาร/


การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร


วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ข้อบ่งชี้ในการให้อาหารทางสายยาง (Indications for enteral feeding)

ข้อบ่งชี้ในการให้อาหารทางสายยาง (Indications for enteral feeding) ได้แก่



1.ผู้ป่วยรับประทานอาหารทางปากไม่ได้ 5-7 วัน และมีภาวะทุพโภชนาการ
2. ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว (Unconscious patients)
3. ผู้ป่วยมีปัญหาการกลืน (Swallowing disorders)
4.ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ล้มเหลวบางส่วน (Partial intestinal failure)
5.ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช เช่น anorexia nervosa
6. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดทางเดินอาหาร การใส่ Enteral tube feeding (ETF) ในกรณีนี้ไม่ใช่เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหาร แต่เพื่อระบาย gastric content ลดการติดเชื้อ และเชื่อว่าจะมีผลลดระยะเวลาพักฟื้น หรือลดระยะเวลานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลได้
7. ผู้ป่วย uncomplicated pancreatitis

 จุดประสงค์ของการใส่สายยางให้อาหารและการให้อาหารทางสายยาง
 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

ที่มา :  http://www.ns.mahidol.ac.th/english/th/departments/FN/th/km/km_feeding.html

การให้อาหารทางสายยาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พักฟื้น อาหาร โรงพยาบาล ป่วย โรคเรื้อรัง ผ่าตัด สายให้อาหาร NG tube feeding เบาหวาน ความดัน ความดันโลหิตสูง แพทย์ ยา หารอาหารปั่น อาหารเสริม อาหารผสม นม นมกระป๋อง บัตรทอง สามสิบบาท ประกันสังคม บ้าน อัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ ติดเตียง อาหารทางสายยาง คือ
สูตรอาหารทางสายยาง  อาหารทางสายยาง สำเร็จรูป สูตรอาหารทางสายยาง รามาธิบดี วัตถุประสงค์ การ ให้ อาหาร ทาง สาย ยาง
การดูแลผู้ป่วยให้อาหารทางสายยาง อุปกรณ์การให้อาหารทางสายยางการใส่สายยางให้อาหาร




การศึกษาและประสพการณ์การทำงาน

นายบุญยิ่ง ฤกษ์อุดม

BOONYING RERKUDOM

ใบประกอบวิชาชีพ เลขที่ 4511023525

สมาชิกสภาการพยาบาล เลขที่ 38875

Education

Bachelor of Nursing Science (1995), Mahidol University, BKK

Experience

2012 – Present: Supervisor Kasemrat Bangkae Hospital, BKK

2011-2012 : Supervisor BANGPAKOK 8 Hospital, BKK

2005-2011 : Night manager CHAOPHYA Hospital, BKK

1995-2005 : Nurse manager BANGPAKOK 1 Hospital, BKK

1992-1995 : ICU nurse Siriraj Hospital, BKK

การศึกษา

พยาบาลศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล (2535)

ประสพการณ์

2555- ปัจจุบัน :ผู้ตรวจการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค

2557- ปัจจุบัน :ผู้บริหารโรงเรียนบางกอกอินเตอร์แคร์ การบริบาล

2554- 2555 :ผู้ตรวจการ โรงพยาบาลบางปะกอก 8

2548- 2554 :ผู้ตรวจการ โรงพยาบาลเจ้าพระยา

2538- 2548 :ผู้จัดการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลบางปะกอก 1

2535- 2538 :พยาบาลประจำการ หออภิบาลสยามินทร์1 โรงพยาบาลศิริราช